Category:

สุขภาพ

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม นอนไม่หลับ เกิดจากสาเหตุอะไร และมีทริค หรือมีวิธีการไหนบ้างที่จะช่วยทำให้อาการนอนไม่หลับนั้นดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องใช้ยา หวยสด วันนี้ลองปรับพฤติกรรม พร้อมสำรวจพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน huaysod เพื่อสร้างคุณภาพการนอนให้ดียิ่งขึ้น

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม
นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร

นอนไม่หลับ ปัญหาโลกแตก

นอนไม่หลับ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง วิธีการนอนอย่างมีคุณภาพ สามารถเริ่มแก้ได้จากต้นเหตุ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ปริมาณยามากเกินไป วันนี้ลองย้อนดูพฤติกรรมของตัวเราเองในแต่ละวันกัน ว่ามีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง เช่น มีความเครียด ความกังวลสะสม นอนไม่เป็นเวลา หรือปัญหาด้านการกินอาหารก็สามารถส่งผลได้เช่นกัน

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม
งดชา กาแฟ ช่วงบ่าย – เย็น

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร

นอนไม่หลับ ลองปรับจากพฤติกรรม หรือตามหาสาเหตุกันก่อน แน่นอนว่าชีวิตประจำวันของคนเราไม่เหมือนกัน วันนี้ลองมาลิสต์ว่าอะไรบ้างที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เรานอนไม่หลับกันแน่ ซึ่งจากงานวิจัยปัญหาหลัก ๆ ที่เจอนั้น มีอยู่ด้วยกันไม่กี่ปัจจัย ซึ่งล้วนมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวันธรรมดา ๆ ที่คุณอาจไม่รู้ตัว เช่น ชอบดื่มชา กาแฟ ไม่ว่าจะช่วงเช้า หรือเย็น นั่นทำให้มีคาเฟอีนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่นอนไม่หลับ หรืออาจจะทำงานมา หมดแรงแล้วนอนเลย ก็อาจทำให้สมองยังไม่ได้พัก เมื่อหลับตานอน ก็อาจจะยังทำให้สมองยังคงคิดเรื่องงาน เรื่องปัญหาต่าง ๆ อยู่

วิธีแก้สาเหตุการนอนไม่หลับ

  • งดชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นไป
  • ก่อนจะเข้านอน ให้พักผ่อนสมองก่อน
  • อย่ากังวลมากเกินไป
  • ถ้าไม่ง่วง อย่าฝืน ไม่เช่นนั้น อาจเกิดเป็นความเครียด หรือ หงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
  • ปรับห้องนอนให้มืดสนิท อาจเริ่มหาผ้าม่านที่กันแสง หรือใช้ที่ปิดตา
นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม
นอนไม่หลับ ฟังเพลงกล่อม เพลงไม่มีเนื้อร้อง

ทริคเสริม เพิ่มประสิทธิภาพการนอน

  • ฟังเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง เช่น โมซาร์ท
  • ฟังนิทานพอดแคส ASMR
  • ทำห้องนอนให้มือ หรืออาจใช้ไฟสลัว สร้างบรรยากาศในห้องนอน จำลองเป็นอวกาศ เช่นแสงสีม่วง น้ำเงิน

นอนไม่หลับ ปรับอย่างไร หาสาเหตุง่าย ๆ จากพฤติกรรม ปัจจุบันจะเห็นว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนมักมีอาการนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ความเครียด ปัญหาจากเศรษฐกิน และสังคม ปัจจัยพวกนี้ล้วนมีผลกระทบต่อการนอนทั้งนั้น ซึ่งเมื่อนอนไม่เต็มอิ่ม ก็มักจะมีผลเสียต่อการดำรงชีวิตในวันต่อ ๆ ไป เมื่อสะสมมากยิ่งขึ้นจนอาจเกิดเป็นปัญหาได้ มาลองสังเกตุพฤติกรรมของตัวเอง และค่อย ๆ ปรับไปพร้อมกัน อะไรที่แก้ได้ก็ควรแก้ อะไรที่ลดได้ก็ควรลด และแน่นอนวันนี้เราก็ได้หาทริคธรรมชาติแบบไม่ต้องพึ่งยามาให้ด้วย ลองนำไปใช้กันนะคะ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ

นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ งีบตอนกลางวัน หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่เพื่อน ๆ lottosod รู้ไหมว่า การงีบระหว่างวัน ก็สามารถสร้างการนอนหลับอย่างมีคุณภาพได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการนอน ไม่ว่าจะเครียด นอนไม่หลับ หรืออะไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลาย ๆ ธุรกิจ หลาย ๆ บริษัทเล็งเห็งถึงความสำคัญในจุดนี้ ซึ่ง หวยสด บอกเลยว่าการงีบระหว่างวัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอนระหว่างวันดีอย่างไร สร้างวิธีง่าย ๆ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ

นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ
นอนระหว่างวันดีอย่างไร ควรงีบเป็นช่วงเวลา เวลาที่ส่งผลดีต่อสมองคือช่วง 15.00 – 18.00

นอนระหว่างวัน ดีอย่างไร

การงีบหลับระหว่างวันนั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุ อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นผิดเวลา หรือมีเรื่องเครียดจนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นั่นเป็นสาเหตุให้เรามีผลทางด้านอารมณ์เพิ่มเข้ามาอีกด้วย เช่นเหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย ไม่สดชื่น ฉะนั้นการงีบระหว่างวัน ก็ทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกดีขึ้นมามากเลยทีเดียว โดยระยะเวลาการงีบระหว่างวันนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน

นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ
นอนระหว่างวันดีอย่างไร ตั้งเวลางีบให้สมองสดชื่น

ระยะเวลาการนอนระหว่างวัน

  • นอน 10 – 20 นาที

การนอนระหว่างวัน ระยะเวลาประมาณ 10 – 20 นาที นั้น ช่วยให้สมองได้พักผ่อน เพิ่มความสดชื่น ขจัดความง่วง และสมองโล่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อน ๆ จึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การทำงานไหลลื่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ฉะนั้นการงีบระหว่างทำงานก็ใช่ว่าจะไม่มีผลดี แต่ต้องระวังอย่าให้หัวหน้าเห็นนะคะ

  • นอน 30 นาที

การนอนระหว่างวัน ระยะเวลาประมาณ 30 นาที ทำให้สมองได้พัก แต่เพื่อน ๆ จะรู้สึกเหมือนได้นอนไปแล้ว แล้วถูกปลุก เวลาตื่นขึ้นมาก็จะทำให้มึน ๆ เหมือนคนนอนไม่พอ อาจจะไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนนอน 10 นาที แต่สมองได้พักผ่อนและจะรู้สึกดีกว่าตอนไม่ได้งีบแน่นอน และอาการมึน ๆ จะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 30 นาที

  • นอน 60 นาที

การนอนระหว่าง ระยะเวลาประมาณ 60 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ทำให้สมองได้จัดระบบ ช่วยเรื่องความทรงจำมากขึ้น ตื่นมาแล้วทำงานต่อได้สมองไม่ตัน ความคิดสร้างสรรค์มาแน่นอน แต่อาจจะรู้สึกมึน ๆ ไม่ต่อย สดชื่นมากนัก

เพราะฉะนั้นการนอนระหว่างวันโดยใช้เวลาเพียง 10 – 20 นาทีจะทำให้เพื่อน ๆ มีประสิทธิภาพในการทำงานต่อมากกว่า จากงานวิจัยพบว่าการงีบหลับระหว่างวัน ควรงีบในช่วง 15.00 – 18.00 น. จะดีมากกว่าช่วงอื่น นอกจากได้พักสมองแล้ว ยังทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ปรับสมดุลของฮอร์โมนได้ดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ

นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ
นอนระหว่างวันดีอย่างไร สมองโล่ง กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ข้อดีการงีบระหว่างวัน

การงีบระหว่างวัน ช่วยลดความเครียด และอารมณ์หงุดหงิดแบบไม่มีเหตุผลได้ ช่วยทั้งในเรื่องของสมอง และร่างกาย แถมยังช่วยปรับสมดุลทางฮอร์โมนด้วย ซึ่งแน่นอนว่านั่นจะทำให้งานของเพื่อน ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

นอนระหว่างวันดีอย่างไร นอนอย่างมีคุณภาพ สมองพักเต็มอิ่มเพียงแค่งีบสั้น ๆ ปัจจุบันธุรกิจหลาย ๆ ประเภทเล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้ จึงมีการสร้างจุดพักผ่อน รวมทั้งสถานที่รองรับผู้ที่ต้องการงีบในช่วงกลางวันออกมาหลายประเภทอีกด้วย เช่น Nap lap co-napping workspace เป็นต้น เพื่อน ๆ สามารถเสิร์ชหาแหล่งใกล้ที่ทำงานได้ทันที

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย อาหารบางอย่างกินคู่กันก็มีผลเสียกับร่างกายที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาหารบางอย่างกินคู่กันแล้วก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคุณประโยชน์ดีต่อร่างกายมากขึ้น วันนี้ lottosod เราจะพาสายสุขภาพทั้งหลายมาเจาะลึกกันอะไรกินคู่กันแล้วดีต่อร่างกาย แล้วแต่ละอย่างมันทำงานอย่างไร และสามารถหาได้แหล่งอาหารที่ใดบ้าง

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย
คอลลาเจน ผิวยืดหยุ่น ผิวแข็งแรง

ไม่ว่าจะวิตามิน อาหารเสริม อาหาร หรือแม้แต่สมุนไพรต่าง ๆ ต่างก็มีคุณประโยชน์ในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่บางชนิดต้องการได้กำลังเสริม ที่จะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น วันนี้ลองมาเจาะลึกกันเข้าไปอีกนิด อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ พร้อมยกตัวอย่างแหล่งอาหารที่หาได้ง่าย ให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปเลือกทานเพื่อสุขภาพกัน

กินคู่กัน ช่วยเสริมประสิทธิภาพ

คอลลาเจน VS วิตามิน ซี

การกินคอลลาเจนอย่างเดียวนั้น ร่างกายนำไปดูดซึมได้ไม่ดี การกินวิตามินซีร่วมด้วยนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายนำโปรตีนมาสร้างเป็นคอลลาเจนมากขึ้น และยังช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่มีคอลลาเจนนั้น มีหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะปลา กระดูกอ่อนต่าง ๆ หรืออาจจะใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย
วิตามินดี

ธาตุเหล็ก VS วิตามิน ซี

เหมือนกันกับตัวอย่างข้างต้นเลย คือ วิตามินซี เรียกได้ว่าเป็นวิตามินหลัก ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมได้ดีขึ้น ในกรณีนี้ วิตามินซี ก็เป็นตัวช่วยที่เสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีเพื่อให้ร่างกายได้นำไปใช้ โดยธาตุเหล็กนั้นนอกจากจะหากซื้อเป็นพวกอาหารเสริมได้ง่ายแล้ว ก็มีอยู่ในอาหารทั่วไปด้วยเช่น ตับ เลือด หรือ เครื่องในสัตว์นั่นเอง

ชาเขียว VS พริกไทยดำ

ในพริกไทยดำนั้นทีสารที่ชื่อว่า ‘เพอไพรีน’ อยู่ และเช่นกันว่าในชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย ซึ่งการทำงานของมันคือเมื่อกินคู่กัน สารเพอไพรีนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ให้กับสารต้นอนุมูลอิสระ ให้มีประสิทธิภาพภาพมากขึ้นนั่นเอง โดยชาเขียวในที่นี้จะต้องไม่มีนมผสมนะ เพราะโปรตีนในนมจะไปทำลายสารอนุมูลอิสระนั่นเอง

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย
แคลเซียม

แคลเซียม VS วิตามิน ดี

วิตามินดี จะเป็นตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพ ให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูงนั้นก็หาได้ง่ายในพวกปลา และนมนั่นเอง ส่วนวิตามินดี ก็จะมีอยู่ในจำพวก ไข่ และปลา และอาหารอีกหลายชนิดเลยล่ะค่ะ

พรีไบโอติก VS โพรไบโอติก

จะอธิบายกันง่าย ๆ เลยก็คือ พรีไบโอติก เป็นอาหารของพวกโพรไบโอติกนั่นเอง ซึ่งอย่างที่เคยกล่าวกันไปในบทความก่อนหน้านี้นั้น ตัวโพรไบโอติก ถือเป็นแบคทีเรียดี ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย โดยแหล่งอาหารของมันคือพวกพรีไอโอติก หรือพวกไฟเบอร์ การกินคู่กันแบบนี้จะทำให้โพรไบโอติกไม่อดตาย จึงทำให้ยังมีแบคทีเรียดีอยู่ในร่างกายเรา คือจะช่วยป้องกันเชื้อโรค และช่วนในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง

แหล่งอาหารพรีไบโอติก เช่นพวก กล้วยหอม หอมหัวใหญ่ กระเทียม

แหล่งอาหารโพรไบโอติก ก็ได้แก่พวก นมเปรี้ยว โยเกิร์ต กิมจิ ซุปมิโซะ นั่นเองค่ะ

อาหารคู่กัน กินคู่กันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดีต่อร่ายกาย

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร โพรไบโอติก คืออะไร โพรไบโอติกธรรมชาติ เป็นอย่างไร และสามารถหาจากแหล่งอาหารแบบไหนได้บ้าง วันนี้เราจะชวนมาทำความเข้าใจว่าทำไมเราจึงควรให้ความสำคัญกับเจ้าตัวโพรไบโอติก ซึ่งจากบทความที่แล้ว เราได้เกริ่นไปบ้างแล้ว วันนี้ lottosod อัดความรู้เข้าไปอีก หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะคะ โดยเฉพาะใครที่ท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นเวลาล่ะก็ตามมาดูกันเลย

ประโยชน์โพรไบโอติก ช่วยอะไรบ้าง มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร
ประโยชน์โพรไบโอติก โพรไบโอติก คือ

โพรไบโอติก

โพรไบโอติก เป็นกลุ่มแบคทีเรีย หรือ ยีสต์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นมิตร เมื่อมีในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยทั้งระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ขับถ่ายง่าย ช่วยป้องกันโรค และภาวะที่ผิดปกติของร่างกายได้ด้วย ซึ่งก็มีผลวิจัยมาแล้วว่าพวกแบคทีเรียดีพวกนี้ ช่วยให้ลำไส้ของเราเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นถึง 1.3 เท่า ทำให้เราไม่ท้องผูก นั่นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ในร่างกายเรามีแบคทีเรียดีนี้อยู่แล้ว แต่ก็สามารถเติมเพิ่มเข้าไปได้จากแหล่งอาหารสุขภาพหลายชนิด เช่น โยเกิร์ต ซุปมิโซะ กิมจิ นมเปรี้ยว และอื่น ๆ

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร
ประโยชน์โพรไบโอติก โยเกิร์ต แหล่งรวมโพรไบโอติก

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

ช่วยลดอาการท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น

โพรไบโอติก จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น นั่นทำให้เราขับถ่ายได้เป็นปกติมากขึ้น ขับถ่ายคล่อง ไม่ต้องเบ่ง ซึ่งแน่นอนว่าลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงได้ด้วย

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

โพรไบโอติก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราได้อย่างไร โพรไบโอติก เป็นแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ตัวมันเองจะไปเกาะอยู่ที่ผนังของลำไส้ เพื่อเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคให้เราเสมือนเป็นด่านหน้าให้ รวมถึงสามารถหลั่งสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และหลั่งสารที่ช่วยหยุดการเติบโตของเชื้อโรคได้อีกด้วย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ยากขึ้น และป้องกันการเกิดอาการท้องเสียได้อีกด้วย

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร
ประโยชน์โพรไบโอติก โพรไบโอติก แบคทีเรียดี

ลดคอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล ใช้ในการผลิตน้ำดี ซึ่งในจุดนี้ตัวโพรไบโอติกก็สามารถย่อยน้ำดีได้เช่นกัร จึงส่งผลให้น้ำดีมีปริมาณน้อยลง เมื่อร่างกายรู้ว่ามันมีปริมาณน้อยลงกว่าปกติ ร่างกายจึงกระตุ้นให้คอลเลสเตอรอลสร้างน้ำดีมากขึ้น เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการปกติ จึงทำให้คอสเลสเตอรอลในเลือดลงลงนั่นเอง

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร
ประโยชน์โพรไบโอติก โพรไบโอติก ประโยชน์ กิมจิ มีแบคทีเรียดี

ปรับสมดุลช่องคลอด

ช่องคลอดถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เชื้อโรคเข้าได้ง่ายมาก อย่างที่บอกกันไปในข้างต้น ว่าโพรไบโอติกเป็นอีกด้านหนึ่งที่ช่วยป้องกันเชื้อโรค เจ้าแบคทีเรียดีพวกนี้จึงช่วยรักษาสมดุลโดยการกำจัดเชื้อโรคได้ และยังยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคด้วย จึงทำให้ลดโอกาสการเกิดเชื้อราในช่องคลอด และช่วยลดความเสี่ยงการอักเสบจากการติดเชื้อนั่นเอง

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร
ประโยชน์โพรไบโอติก ทานไฟเบอร์ อาหารชั้นดีของโพรไบโอติก

แหล่งโพรไบโอติก

แหล่งของโพไบโอติกมีอยู่ 2 ชนิดใหญ่ ๆ นั่นคือ กินอาหารที่มีโพรไบโอติก ซึ่งโดยปกติในฉลากจะมีระบุไว้เช่นพวกโยเกิร์ต ซึ่งจะมีกำกับไว้ว่า มีโพรไบโอติก หรือจุลินทรีย์มีชีวิต ซึ่งโพรไบโอติกที่ดีต่อการเพิ่มเติมลงไปควรมีอย่างน้อย 10,000 ล้านตัว หรือ 1010 ตัวนั่นเอง ส่วนอีกชนิดคือกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ไฟเบอร์นั้นร่างกายย่อยไม่ได้ มันจึงเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของโพรไบโอติก นั่นจึงทำให้โพรไบโอติกไม่อดตายนั่นเอง

ประโยชน์โพรไบโอติก มีอะไรบ้าง แหล่งโพรไบโอติกจากอาหาร

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์ ท้องผูกต้องกินอะไร เช็คพฤติกรรมการกิน เลือกกินให้มากยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเกิดโรค และทำให้พุงไม่ป่องอีกดวย วันนี้ หวยสดพลัส เราจะมาเจาะลึกกันมากขึ้นถึงการทำงานของร่างกาย ทำไมเราถึงท้องผูก มีสาเหตุมาจากอะไร และสามารถแก้ไขอาการท้องผูกได้อย่างไรบ้าง

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์

ลองเช็คกันดูปกติแล้วเพื่อน ๆ ขับถ่ายสัปดาห์ละกี่ครั้ง

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์
อาการท้องผูก การขับถ่ายเป็นอย่างไร

การขับถ่ายปกตินั้น จะขับถ่ายไม่เกิน 3 ครั้งต่อวัน และไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้อยู่แล้ว ถือว่าขับถ่ายปกติดี แต่ขับถ่ายที่ไม่ปกตินั้น แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แบบท้องเสีย และแบบท้องผูก

สำหรับท้องผูกนั้น อึจะมีลักษณะเป็นเม็ดแข็งเล็ก คล้ายกระสุน หรืออาจเป็นแบบยาวและขรุขระ ซึ่งขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้เสี่ยงต่อการเป็นริดสีดวง เพราะขับถ่ายแต่ละทีอึจะมีลักษณะคมและแข็ง ทำให้ทวารหนักฉีกขาดได้

สำหรับท้องเสียนั้น อึจะมีลักษณะนิ่มและเหลว อาจเป็นน้ำล้วน ๆ หรือเนื้อปนน้ำ และมีลักษณะแบบนี้มากกว่า 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ โดยหลังจากท้องเสียนั้นควรพักทานอาหาร 2 – 4 ชั่วโมง เพื่อหยุดการทำงานของลำไส้ และให้ดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยเกลือแร่ที่เสียไป และที่สำคัญคือห้ามกินยาแก้ท้องเสียโดยเด็ดขาด เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในนั้นจะค้างอยู่ในร่างกายด้วยนั่นเอง

ข้อดีของการขับถ่ายทุกวัน

การขับถ่ายทุกวัน ข้อดีคือร่างกายจะไม่สะสมของเสียและพิษเอาไว้ เพราะถ้าเก็บค้างไว้ ลำไส้ใหญ่จะมีการดูดซึมน้ำกลับจากของเสียออกมาใช้อีก สารพิษก็จะวนเข้าสู่ร่างกาย การขับถ่ายเป็นประจำจะทำให้ลำไส้ไม่ต้องทำงานหนัง สบายท้อง พุงไม่ป่อง และไม่กักเก็บสารพิษไว้ด้วยนะคะ

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์
เช็คพฤติกรรมการขับถ่าย อาการท้องผูก

สาเหตุที่ทำให้การขับถ่ายไม่ปกติ

ไม่ค่อยกินผัก และผลไม้ อย่างที่รู้กันว่าในผัก และผลไม้มีไฟเบอร์ ซึ่งไฟเบอร์จะดูดซํบน้ำให้พองตัว จึงทำให้อึนิ่ม ซ฿่งการดื่มน้ำมาก ๆ ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้อึไม่แข็งเช่นกันนะ

ชอบอั้นอึ ใครที่รู้สึกปวดแต่คิดว่า ขอนั่งทำงานต่ออีกนิด ขอดูซีรีย์ตอนนี้ให้จบก่อนค่อยไป นั่นจะทำให้ลำไส้ดูดน้ำจากของเสียกลับเข้าไปใช้ใหม่ อึเลยแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสาเหตุให้เราต้องเบ่ง และใช้เวลานาน ซึ่งอาเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงได้

นั่งนาน ไม่ขยับตัว อีกหนึ่งสาเหตุที่หลายคนคงไม่เคยคิดว่าเหตุผลนี้จะเป็นปัจจัยด้วย ซึ่งเหตุผลก็คือหากนั่งนาน ๆ นั่นหมายความว่าลำไส้ไม่ค่อยได้ขยับ เคลื่อนไหว เลยทำให้ไม่มีการบีบตัวให้เราได้ขับถ่ายออกมานั่นเอง

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์
อาการท้องผูก ท้องผูกเสี่ยงต่อโรค

ท้องผูกเสี่ยงต่อโรค

ริดสีดวง การที่เราต้องเบ่งอึนาน ๆ นั่นหมายถึงเราไปเพิ่มความดันในหลอดเลือดในลำไส้ จนอาจทำให้มันโป่งพองขึ้นเป็นก้อนริดสีดวงโผล่ออกมาจากรูทวารหนักของเรานั่นเอง

รูทวานเป็นแผล การอั้น หรือท้องผูก อึที่ออกมาแต่ละครั้งจะแข็งและคมจนทำให้เกิดบาดแผลที่รูทวารได้

มะเร็งลำไส้ มีวิจัยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ ว่าการท้องผูกบ่อย ๆ ไม่กินอาหารที่มีไฟเบอร์จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์
อาการท้องผูก ทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์

ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่มีไฟเบอร์

ผัก ผลไม้ ธัญพืช (100 กรัม)
บรอคโคลี
แครอท
กระเจี๊ยบ
แอปเปิล
กีวี
ฝรั่ง
อะโวคาโด
ถั่วลันเตา
ถั่วดำ 1 ถ้วย
ถั่วแดง 1 ถ้วย
ควินัว
ลูกพรุน
บาร์เลย์
เมล็ดเซีย
ปริมาณไฟเบอร์
3.3 กรัม
3 กรัม
2.1 กรัม
2.4 กรัม
3 กรัม
5.4 กรัม
6.7 กรัม
5.5 กรัม
8.7 กรัม
9.3 กรัม
2.8 กรัม
3.1 กรัม
3.8 กรัม
37.9 กรัม
สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์
เพิ่มแบคทีเรียดี

แบคทีเรียดี

แบคทีเรียดี ในลำไส้ของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่มากกว่า 5,000 สายพันธุ์ ซึ่งแบคทีเรียพวกนี้จะช่วยป้องกันเชื้อโรค เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยย่อยอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วว่า แบคทีเรียดี ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ได้ถึง 1.3 เท่า ทำให้อึนิ่มขึ้นได้จริง ซึ่งเราสามารถเติมอาหารที่มีแบคทีเรียดีนี้เข้าไปได้ จากการกิน นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ซุปมิโซะ และกินอาหารที่มีไฟเบอร์เข้าไปเพิ่มอีกก็จะทำให้แบคทีเรียนี้อยู่กับเราได้นานขึ้นด้วยนะคะ

สาเหตุของอาการท้องผูก เช็คพฤติกรรม บำรุงด้วยไฟเบอร์

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร อาหารบางชนิดเมื่อกินคู่กันแล้วก็เป็นเหมือนคำสาป บางชนิดกินคู่กันแล้วก็จะไปทำลายสารที่มีประโยชน์นั้นไป และบางชนิดทานคู่กันก็มีอันตรายถึงชีวิต วันนี้ lottosod เราจะชวนมาไขปริศนา ทำความเข้าใจให้กระจ่างกันมากขึ้น และจะได้หลีกเลี่ยง ระมัดระวังการจับคู่การทานอาหารนั้น ๆ ให้มากยิ่งขึ้น

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน ทานแล้วเป็นพิษต่อร่างกาย

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร
อาหารที่ทานคู่กันไม่ได้

อาหาร VS ร่างกาย

มันมีจริง ๆ นะอาหารอะไรที่กินคู่กันแล้วเป็นพิษต่อร่างกาย หรือกินคู่กันแล้วทำปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น อาหาร VSอาหาร หรือ อาหาร VS ยา หรือแม้แต่ เครื่องดื่ม VS อาหาร ขนม เรียกได้ว่าเป็นคู่กรรม หรือคำสาปของกันและกันเลยล่ะ วันนี้มาลองทำความเข้าใจไปพร้อมกันว่าทำไมอาหารที่ทานคู่กันแล้วนั้นถึงเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อร่างกาย รู้ไว้ก่อนจะได้ลดอันตราย และป้องกันกันทันนะคะ

ทานคู่กันมันไม่ดี

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร
ห้ามทานคู่กัน ทุเรียน VS แอลกอฮอล์

ทุเรียน VS แอลกอฮอล์

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะสร้างกระบวนการลดความเป็นพิษของแอลกอฮอล์ให้โดยอัตโนมัติ แต่ทุเรียนนั้น มีซัลเฟอร์ในปริมาณมาก เมื่อกินคู่กัน ซัลเฟอร์จะไปยับยั้งกระบวนการที่ร่างกายจะไปลดความเป็นพิษของแอลกอฮอล์ลง นั่นจึงทำให้ร่างกายทำลายความเป็นพิษของแอลกอฮอล์ได้ไม่ดี จึงทำให้ร่างกายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว หรือถึงขั้นรุนแรงที่ทำให้หายใจลำบาก หรือหัวใจล้มเหลวได้เลยนะ

เมนทอส VS น้ำอัดลม

เมนทอสมีสารเคลือบผิวที่มีรูพรุนขนากเล็กที่ไม่สามารมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อมาใส่ในน้ำอัดลมที่มีการอัดแก๊สจำนวนมากอยู่แล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดฟองล้นทะลักออกมา เหมือนอย่างที่หลาย ๆ คนใครเห็นในการทดลองวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซึ่งเมื่อเรากินคู่กันก็จะทำให้เกิดอาการเรอ ท้องอืด ได้นั่นเอง

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร
ห้ามทานคู่กัน เมนทอส VS น้ำอัดลม

ยา VS นม

นม และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำจากนม เช่น เนย โยเกิร์ต ชีส ทานพร้อมกับยาบางชนิดไม่ได้ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าคนธรรมดาแบบเรา ๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ายาชนิดไหนกินกับนมได้ ยาชนิดไหนกินกับนมไม่ได้ ฉะนั้นหลีกเลี่ยงการทานคู่กันไว้จะดีกว่า เนื่องจากในนมนั้นมีแคลเซียมสูง ซึ่งเจ้าแคลเซียมตัวนี้จะเข้าไปทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงนั่นเอง การกินคู่กับน้ำเปล่าจะทำให้ตัวยาละลาย และดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีที่สุด

ตัวอย่างยาที่ไม่ควนกินพร้อมนม เช่น ยารักษาโรคกระดูกพรุนกลุ่มบิสฟอสโฟเนต ยาฆ่าเชื้อกลุ่มควิโนโลน และกลุ้มเตตราไซคลิน เป็นต้น

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร
ห้ามทานคู่กัน ชาเขียว VS นม

ชาเขียว VS นม

จริง ๆ แล้วชากับนมนั้นก็สามารถกินด้วยกันได้ เพียงแต่ถ้ากินด้วยกันจะทำให้ประโยชน์ของชาลดลงนั่นเอง ไม่ว่าจะชาเขียว ชานมต่าง ๆ หากผสมคู่กับชาแล้ว โปรตีนในนมจะไปจับกับสารต้านอนุมูลอิสระในชา และทำลายสารที่มีประโยชน์ตัวนี้ไปนั่นเอง

อาหารคู่กรรม ห้ามทานคู่กัน สาระน่ารู้หมวดอาหาร อาหารแต่ละชนิดทานได้ แต่ต้องทานในปริมาณที่พอดี และเว้นระยะการทานให้ห่างกัน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดผลเสียร้ายแรงต่อร่างกายได้ เช่นหากอยากจะกินนม ก็ให้กินหลังทานยาไปแล้ว 2 ชั่วโมง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีขึ้นนั่นเอง

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้ เส้นก๋วยเตี๋ยวให้พลังงานเท่าไหร่ กินแบบไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ ใครชอบกินเส้นวันนี้ลองมาปรับความเข้าใจกันใหม่ ที่บอกว่าเส้นใหญ่กินแล้วอ้วนจริงไหม วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกันดูแล้วจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถเลือกกินได้ทุกเส้น เพียงแต่ต้องเลือกกันให้ดี ส่วนใครที่ไม่ชอบกินเส้นลองศึกษากันไว้ดู เส้นไหนเฮลท์ตี้ กินแบบไหนดีต่อสุขภาพตามมาดู หวยหุ้นวีไอพี เลย

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เส้นไหนให้พลังงานเท่าไหร่ เลือกกินเพื่อสุขภาพ

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้
เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย

กินเส้น

รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารหลักที่คนไทยนิยมเลือกทานเลย จะเห็นได้ว่าร้านขายก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ จะมีลูกค้าเข้ามารับประทานกันไม่ขาดสายไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ดึก นั่นก็เพราะเป็นตัวเลือกที่ง่าย 1 ชามได้กินหลากหลาย ไม่ว่าจะรสชาติน้ำซุป น้ำใส ต้มยำ น้ำตก หรือแบบแห้ง ทั้งยังได้เนื้อสัตว์ ผักต่าง ๆ ครบรส นี่ยังไม่รวมถึงผัดไทย ราดหน้า และอีกหลายเมนูขึ้นชื่อ อีกหนึ่งเหตุผลคือหลาย ๆ คนอาจจะเกิดอาการเบื่อข้าวขึ้นมา ก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นอีกทางเลือกที่หลาย ๆ คนชอบเลยแหละค่ะ เรียกได้ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความรุ่งเรืองทางเส้นก๋วยเตี๋ยวเลยทีเดียว

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้
เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เส้นก๋วยเตี๋ยวให้พลังงานเท่าไหร่

ทำความรู้จัก เส้นก๋วยเตี๋ยว

บะหมี่

บะหมี่ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 209 kcal

เส้นเล็ก

เส้นเล็กในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 155 kcal

เส้นใหญ่

เส้นใหญ่ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 119 kcal

เส้นหมี่ขาว

เส้นหมี่ขาวในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 114 kcal

วุ้นเส้น

วุ้นเส้นในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 86 kcal

จะเห็นได้ว่า บะหมี่ จะเป็นเส้นที่ให้พลังงานมากที่สุด เพราะมีส่วนผสมทั้งแป้ง และไข่ จึงทำให้มีพลังงานถึง 209 kcal ส่วนเส้นเล็ก เส้นใหญ่ และเส้นหมี่ขาวนั้น มีวิธีการทำคล้ายกัน เพียงแต่จะตัดเส้นให้มีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ในส่วนของเส้นใหญ่นั้นเพื่อน ๆ อาจจะเห็นว่าจะมันกว่าเส้นอื่น นั่นก็เพราะมีการนำมาทาน้ำมันเพื่อไม่ให้เส้นติดกันเพียงเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าพลังงานไม่ต่างกันมากนัก ส่วนวุ้นเส้นนั้นให้พลังงานน้อยที่สุด เนื่องจากทำมาจากแป้งถั่วเขียวนั่นเอง

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้
เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย ทางเลือกคนรักสุขภาพ

กินแบบไหนดี

บะหมี่
บะหมี่หมูแดง
508 kcal
บะหมี่น้ำหมูแดง
438 kcal
เส้นเล็ก
ผัดไทย
677 kcal
เส้นเล็กหมูใส่ลูกชิ้น
327 kcal
เส้นใหญ่
เส้นใหญ่ราดหน้าหมูชิ้น
438 kcal
เส้นใหญ่หมูน้ำใส
342 kcal
หมี่ขาว
หมี่ขาวผัดซีอิ๊วหมูใส่ไข่
517 kcal
หมี่ขาวลูกชิ้นเนื้อน้ำใส
237 kcal
วุ้นเส้น
ผัดวุ้นเส้นใส่ไข่
449 kcal
ยำวุ้นเส้นหมูสับ
240 kcal

เส้นก๋วยเตี๋ยวแคลน้อย เลือกกิน ปรับความเข้าใจ เส้นไหนก็กินได้

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
3 FacebookTwitterPinterestEmail
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่ วันนี้เดินหน้าศึกษาข้อมูลอาหารเพื่อมาปรับใช้ และเป็นความรู้ในการเลือกทานอาหารกันอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราได้นำข้อมูลจาก USDA สหรัฐอเมริกา มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูขอมูลว่าเนื้อสัตว์แต่ละส่วน แต่ละชนิดให้พลังงาน ให้โปนตีน และไขมันเท่าไหร่ เนื้อส่วนไหนควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ สำหรับคนที่อยากคุมอาหาร วันนี้ลองตามมาดูไปพร้อมกันกับ หวยสด เลยดีกว่า

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ อกไก่ ให้พลังงานเท่าไหร่

หมวดเนื้อไก่

ปีกไก่ 100 กรัม

ส่วนของปีกไก่รวมทั้งเนื้อและหนัง ให้พลังงาน 191 kcal

โปรตีน: 18 กรัม

ไขมัน: 13 กรัม

น่องไก่ 100 กรัม

ส่วนของน่องไก่รวมทั้งเนื้อและหนัง ให้พลังงาน 161 kcal

โปรตีน: 18 กรัม

ไขมัน: 9 กรัม

อกไก่ 100 กรัม

ส่วนของอกไก่รวมทั้งเนื้อและหนัง ให้พลังงาน 172 kcal

โปรตีน: 21 กรัม

ไขมัน: 9 กรัม

ส่วนของอกไก่ไม่มีหนัง ให้พลังงาน 120 kcal

โปรตีน: 23 กรัม

ไขมัน: 3 กรัม

สะโพกไก่ 100 กรัม

ส่วนของสะโพกไก่รวมทั้งเนื้อและหนัง ให้พลังงาน 221 kcal

โปรตีน: 17 กรัม

ไขมัน: 17 กรัม

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ เนื้อหมู กินส่วนไหนดีที่สุด

หมวดเนื้อหมู

สันนอก 100 กรัม

สันนอกหมู ให้พลังงาน 198 kcal

โปรตีน: 20 กรัม

ไขมัน: 13 กรัม

สันใน 100 กรัม

สันในหมู ให้พลังงาน 120 kcal

โปรตีน: 21 กรัม

ไขมัน: 4 กรัม

สามชั้น 100 กรัม

หมูสามชั้น ให้พลังงาน 518 kcal

โปรตีน: 9 กรัม

ไขมัน: 53 กรัม

สะโพก 100 กรัม

สะโพกหมู ให้พลังงาน 245 kcal

โปรตีน: 17 กรัม

ไขมัน: 19 กรัม

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ เนื้อวัวให้โปรตีนเท่าไหร่

หมวดเนื้อวัว

สันคอ 100 กรัม

สันคอวัว ให้พลังงาน 224 kcal

โปรตีน: 19 กรัม

ไขมัน: 18 กรัม

สันใน 100 กรัม

สันในวัว ให้พลังงาน 247 kcal

โปรตีน: 20 กรัม

ไขมัน: 18 กรัม

สันนอก 100 กรัม

สันนอกวัว ให้พลังงาน 201 kcal

โปรตีน: 20 กรัม

ไขมัน: 13 กรัม

สะโพก 100 กรัม

สะโพกวัว ให้พลังงาน 192 kcal

โปรตีน: 21 กรัม

ไขมัน: 12 กรัม

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แซลมอนให้พลังงานกี่แคล

หมวดแซลมอน

ตัว 100 กรัม

เนื้อแซลมอนช่วงตัว ให้พลังงาน 179 kcal

โปรตีน: 20 กรัม

ไขมัน: 10 กรัม

ท้อง 100 กรัม

เนื้อแซลมอนส่วนท้อง ให้พลังงาน 362 kcal

โปรตีน: 12 กรัม

ไขมัน: 35 กรัม

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่
ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ให้พลังงานเท่าไหร่

หมวดไข่ไก่

ไข่ขาว 100 กรัม

ไข่ขาว ให้พลังงาน 52 kcal

โปรตีน: 11 กรัม

ไขมัน: 0.1 กรัม

ไข่แดง 100 กรัม

ไข่แดง ให้พลังงาน 322 kcal

โปรตีน: 16 กรัม

ไขมัน: 27 กรัม

ความแตกต่างของเนื้อสัตว์ แต่ละส่วนให้ โปรตีน VS ไขมัน เท่าไหร่ เลือกทานอาหารกันอย่างระมัดระวัง ส่วนไหนให้ประโยชน์ ส่วนไหนมีไขมันเยอะ ก็ควรหลีกเลี่ยง ยิ่งมีอายุเยอะขึ้น ยิ่งต้องระวังในเรื่องการทานกันให้มากขึ้น และหวังว่าบทความสุขภาพพวกนี้จะทำให้เพื่อน ๆ ได้รับความรู้ มองเห็นภาพกันมากขึ้นนะคะ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สำหรับใครที่อยากหาข้อมูลหาหารเบื้องต้นว่าอาหารแต่ละชนิดให้พลังงานอาหารเท่าไหร่ และมีสารอาหารอะไรบ้าง วันนี้ เว็บหวยสด เราขนข้อมูลมาให้ดูเปรียบเทียบกันง่าย ๆ ในรูปแบบ 1 ช้อนกินข้าว วันนี้มาดูกันว่าผัก ผลไม้แต่ละชนิดที่ทานเข้าไปมีแคลอรีเท่าไหร่บ้าง

นับแคลอรีอาหาร ผัก ผลไม้ 1 ช้อนกินข้าว ให้สารอาหารอะไรบ้าง

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง
นับแคลอรีอาหาร ผักสลัด มีวิตามิน และไฟเบอร์

หมวดผัก และ ผลไม้

ผักสลัด ให้พลังงานกี่แคลอรี

ผักสลัด 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 1.42 kcal มีวิตามิน และไฟเบอร์สูง

โปรตีน : 0.13 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.20 กรัม

ไขมัน : 0.01 กรัม

บรอกโคลี ให้พลังงานกี่แคลอรี

บรอกโคลี 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 2.87 kcal มีลูทีน และแคโรทีนอยด์สูง

โปรตีน : 0.22 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.48 กรัม

ไขมัน : 0.01 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง
นับแคลอรีอาหาร แครอท แครอทสกัดเย็น ให้พลังงานเท่าไหร่

แครอท ให้พลังงานกี่แคลอรี

แครอท 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 3.42 kcal มีเบต้าแคโรทีนสูง

โปรตีน : 0.15 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.66 กรัม

ไขมัน : 0.02 กรัม

หน่อไม้ฝรั่ง ให้พลังงานกี่แคลอรี

หน่อไม้ฝรั่ง 1 ต้น ให้พลังงาน 2.27 kcal มีวิตามิน C สูง

โปรตีน : 0.19 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.33 กรัม

ไขมัน : 0.02 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง
นับแคลอรีอาหาร กะหล่ำม่วง ช่วยเผาผลาญ

กะหล่ำม่วง ให้พลังงานกี่แคลอรี

กะหล่ำม่วง 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 3.46kcal มีสารอินไทบินสูง รสขม ช่วยในการเผาผลาญ

โปรตีน : 0.14 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.70 กรัม

ไขมัน : 0.02 กรัม

เผือก ให้พลังงานกี่แคลอรี

เผือก 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 11.30 kcal มีธาตุเหล็ก

โปรตีน : 0.17 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 2.59 กรัม

ไขมัน : 0.03 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง
นับแคลอรีอาหาร แอปเปิ้ล ให้พลังงานกี่แคล

แอปเปิ้ล ให้พลังงานกี่แคลอรี

แอปเปิ้ล 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 5.30 kcal มีเบต้าแคโรทีน และวิตามิน C สูง

โปรตีน : 0.02 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 1.29 กรัม

ไขมัน : 0.01 กรัม

สับปะรด ให้พลังงานกี่แคลอรี

สับปะรด 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 4.90 kcal มีเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร

โปรตีน : 0.04 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 1.17 กรัม

ไขมัน : 0.00 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง
นับแคลอรีอาหาร มะเขือเทศ

มะเขือเทศ ให้พลังงานกี่แคลอรี

มะเขือเทศ 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 2.33 kcal มีไลโคปีน และแคโรทีนอยด์สูง

โปรตีน : 2.33 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 0.09 กรัม

ไขมัน : 0.03 กรัม

ฟักทอง ให้พลังงานกี่แคลอรี

ฟักทอง 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 5.64 kcal มีเบต้าแคโรทีนสูง

โปรตีน : 0.09 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 1.26 กรัม

ไขมัน : 0.03 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดผัก ผลไม้ 1 ช้อนมีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง เอามาให้ลองดูกันให้เห็นภาพ รอบนี้มาในหมวดผัก และผลไม้นอกจากพลังงานแล้วผัก ผลไม้แต่ละชนิดก็ยังมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ซึ่งอาหารแต่ละประเภทร่างกายก็มีกลไกในการย่อย ในการดูดซึมต่างกัน ยิ่งเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีกากใยอาหารก็ยิ่งดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้านเลยทีเดียว และต่อไปเราจะมาลงลึกในความรู้ด้านสุขภาพอื่น ๆ กันเรื่อย ๆ รู้ทันอาหาร รู้ทันร่างกายปีนี้สุขภาพดีแน่นอน

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี นับแคลอรี่อาหารกับหมวดแป้ง อาหารแต่ละชนิดให้พลังงานเท่าไหร่ วันนี้เราแปลงหน่วยให้มาคำนวณกันง่าย ๆ ในปริมาณ 1 ช้อนกินข้าว หรือพลังงานต่อคำนั้นให้กี่แคลอรี่ และให้สารอหารอะไรบ้าง เพื่อให้เพื่อน ๆ lottosod ได้คำนวณ แคลอรี่ที่ร่างกายต้องกายต่อวัน ที่เพื่อน ๆ กำหนดไว้ต่อวันได้ง่ายขึ้น

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี

หมวดแป้ง

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี
นับแคลอรีอาหาร ข้าวให้พลังงานกี่แคลอรี่

ข้าวขาว ให้พลังงานกี่แคลอรี

ข้าวขาว 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 12.21 kcal

โปรตีน : 0.21 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 2.8 กรัม

ไขมัน : 0.02 กรัม

ข้าวกล้อง ให้พลังงานกี่แคลอรี

ข้าวกล้อง 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 12.80 kcal มีใยอาหารสูง

โปรตีน : 0.25 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 2.66 กรัม

ไขมัน : 0.25 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี
นับแคลอรีอาหาร พลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน

ข้าวไรซ์เบอร์รี ให้พลังงานกี่แคลอรี

ข้าวไรซ์เบอร์รี 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 14.08 kcal มีสารต้านอนุมูลอิสระ

โปรตีน : 0.30 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 3.11 กรัม

ไขมัน : 0.05 กรัม

เส้นหมี่ขาว ให้พลังงานกี่แคลอรี

เส้นหมี่ขาว 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 15.08 kcal

โปรตีน : 0.25 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 3.38 กรัม

ไขมัน : 0.06 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี
นับแคลอรีอาหาร บะหมี่เหลือง ให้พลังงานเท่าไหร่

เส้นบะหมี่ ให้พลังงานกี่แคลอรี

เส้นบะหมี่ 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 16.81 kcal มีใยอาหารสูง

โปรตีน : 0.43 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 3.59 กรัม

ไขมัน : 0.08 กรัม

วุ้นเส้น ให้พลังงานกี่แคลอรี

วุ้นเส้น 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 7.74 kcal

โปรตีน : 0.01 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 1.93 กรัม

ไขมัน : 0.00 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี
นับแคลอรีอาหาร พาสต้า ให้พลังงานกี่แคลอรี่

เส้นบุก ให้พลังงานกี่แคลอรี

เส้นบุก 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 7.51 kcal

โปรตีน : 0.18 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 1.66 กรัม

ไขมัน : 0.02 กรัม

เส้นพาสต้า ให้พลังงานกี่แคลอรี

เส้นพาสต้า 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 13.95 kcal

โปรตีน : 0.52 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 2.78 กรัม

ไขมัน : 0.08 กรัม

ข้าวโพด ให้พลังงานกี่แคลอรี

ข้าวโพด 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 15.01 kcal มีเบต้าแคโรทีน

โปรตีน : 0.30 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 3.21 กรัม

ไขมัน : 0.11 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี
นับแคลอรีอาหาร ซีเรียล แคลอรี่

ถั่วแดง ให้พลังงานกี่แคลอรี

ถั่วแดง 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 12.48 kcal

โปรตีน : 0.80 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 2.14 กรัม

ไขมัน : 0.08 กรัม

ซีเรียล ให้พลังงานกี่แคลอรี

ซีเรียล 1 ช้อนกินข้าว ให้พลังงาน 34.05 kcal

โปรตีน : 0.57 กรัม

คาร์โบไฮเดรต : 7.32 กรัม

ไขมัน : 0.28 กรัม

นับแคลอรีอาหาร หมวดแป้ง 1 ช้อน ให้พลังงานกี่แคลอรี การจำกัดปริมาณอาหารก็สำคัญ แต่เพื่อน ๆ ย่าลืมดูสารอาหารให้ครบถ้วนกันด้วยนะคะ ไม่ว่าจะโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน ผักผลไม้ก็สำคัญ และเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ เลือกทานให้ถูกวิธีก็สามารถหุ่นดีได้โดยไม่ต้องเคร่งเรื่องแคลอรี่มากนัก เลือกวิธีที่เพื่อน ๆ ชอบ จะได้มีความสุขกับการดูแลสุขภาพไปพร้อม ๆ กันนะคะ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail